CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

งานวิจัยพบ ตะไคร่น้ำพิษ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างหนักในแหล่งน้ำทั่วโลก ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา

ตะไคร่น้ำเป็นสาหร่ายเซลล์เดียวซึ่งสามารถพบได้แทบทุกที่ที่มีน้ำไหล ซึ่งสำหรับหลายๆ คนแล้วนี่คงจะเป็นพืชที่น่ารำคาญเอามากๆ เพราะไม่เพียงแต่มันจะนำมาซึ่งความสกปรกเท่านั้น แต่มันยังทำให้พื้นลื่นและเป็นอันตรายได้อีกด้วย

แต่เพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่าตะไคร่น้ำนั้นไม่ได้มีความอันตรายแค่ที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้น แต่ตะไคร่น้ำบางชนิดยังอาจจะมีพิษที่รุนแรงถึงขั้นที่ทำให้คนเสียชีวิตได้ด้วย และเจ้าตะไคร่น้ำที่ว่านี้ ก็กำลังมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหายในทะเลสาบน้ำจืดทั่วโลก ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเสียด้วย

 

 

นี่เป็นการค้นพบที่เกิดขึ้นหลังจากที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและนาซาได้ทำการร่วมมือกันตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมของแหล่งน้ำในโลกตลอดช่วงเกือบๆ 30 ปีที่ผ่านมา (1984-2013) เพื่อศึกษาตะไคร่น้ำในแหล่งน้ำจืด 71 แห่งจาก 33 ประเทศทั่วโลก และพบว่า

กว่า 68% ของแหล่งน้ำในโลกจะมีการแพร่กระจายของตะไคร่น้ำอย่าง “สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน” และตะไคร่น้ำมีพิษอื่นๆ ในปริมาณสูง ซึ่งตะไคร่น้ำเหล่านี้นอกจากจะมีพิษในตัวเองและอาจจะติดไปกับน้ำที่คนและสัตว์ดื่มเข้าไปแล้ว ตะไคร่น้ำบางสายพันธุ์ยังอาจจะมีการปล่อยสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อตับของสิ่งมีชีวิตลงสู่น้ำด้วย

 

 

อ้างอิงจากทีมวิจัย การแพร่กระจายที่เกิดขึ้นนี้มีปัจจัยหลักๆ มาจากภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงของโลก และมีปัจจัยเสริมอื่นๆ มาจากสารเคมีที่มนุษย์ใช้งาน ทั้งในการเกษตรและในการพัฒนาเมือง ก่อนที่มันจะไหลลงสู่แหล่งน้ำอีกที

แน่นอนว่าสำหรับหลายๆ คน นี่อาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ฟังดูยิ่งใหญ่นัก เพราะตะไคร่น้ำเหล่านี้มักจะถูกกำจัดไปในขั้นตอนกรองน้ำของระบบประปาแล้ว แต่ในความเป็นจริงนี่เป็นอันตรายที่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด

 

 

นั่นเพราะในโลกยังมีประชากรจำนวนไม่น้อยที่พึ่งพาน้ำจากแหล่งน้ำจืดในการบริโภคโดยตรงอยู่ แถมสัตว์ต่างๆ เองก็มีโอกาสสูงที่จะดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่มีตะไคร่น้ำเป็นพิษ และอาจจะได้รับผลกระทบจนต้องล้มป่วยหรือล้มตายไป

ตัวอย่างของเหตุการณ์แห่งนี้ก็อย่างเช่นรายงานสุนัขตายเนื่องจากดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่มีตะไคร่น้ำเป็นพิษในหลายๆ ประเทศ และข่าวตะไคร่น้ำเหล่านี้อาจจะเข้าไปอุดเหงือกปลาจนทำให้ปลาตายที่นอร์เวย์

 

 

ด้วยเหตุนี้เองทางนักวิทยาศาสตร์จึงมีการเรียกร้องให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นปัญหานี้ อาจจะกลายเป็นอะไรที่สายเกินแก้ไปก็ได้

 

ที่มา gizmodo, dailymail, independent


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น