CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

การค้นพบครั้งสำคัญ เด็กชายชาวอิรักกลายเป็นคนแรกของโลกที่เกิดมามี “หรรมส์ 3 แฉก”

เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในวงการแพทย์ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พบเด็กชายชาวอิรักที่มีองคชาตถึง 3 อัน นับเป็นการค้นพบรายแรกของโลก

การค้นพบนี้ถูกตีพิมพ์งในวารสาร International Journal of Surgery Case Reports ที่เป็นแหล่งรวบรวม งานวิจัยการค้นพบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการแพทย์

ดอกเตอร์ Shakir Saleem Jabal นักวิจัยกล่าวถึงการค้นพบนี้ว่า “การค้นพบนี้เป็นความรู้ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษยชาติ เป็นครั้งแรกที่พบเคสที่มีองคชาต 3 อัน หรือภาวะที่เรียกว่า Triphallia”

 

ภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

 

เด็กชายคนดังกล่าวเป็นชาวเคิร์ด จากเมือง Duhok ประเทศอิรัก วัย 3 เดือน ถูกพาตัวมาที่โรงพยาบาลโดยพ่อแม่ เนื่องจากว่ามีอาการถุงอัณฑะบวม

จากการตรวจสอบแล้วเบื้องต้นแพทย์พบว่าเด็กชายมีองคชาตมากกว่าปกติ คือมี 3 อัน คือ อันแรกเป็นอันที่ปกติ ที่คนทั่วๆ ไปมี อัน 2 มีตำแหน่งอยู่ตรงบริเวณโคนด้านล่าง (เหนืออัณฑะ) มีความยาวราวๆ 2 เซนติเมตร และอันที่ 3 จะอยู่ด้านล่างถุงอัณฑะ มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร

จากงานวิจัยให้ข้อมูลว่า ภาวะ Triphallia นี้ เกิดขึ้นจากความลึกลับซับซ้อนของพันธุกรรมซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด เพราะจากเคสนี้ก็ได้มีการตรวจสอบแล้วว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ยา และไม่เกี่ยวข้องกับการสืบทอดทางพันธุกรรม ใดๆ เลย

 

ภาพเหตุการณ์จริง

 

อยากดูแบบไม่เซนเซอร์คลิกที่ลิงก์นี้ได้เลย

 

สำหรับหลายๆ คนที่สงสัยว่าอนาคตของเด็กชายคนนี้ จะสามารถให้องคชาตทั้ง 3 อันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่? ก็ขอตอบเลยว่าหมดโอกาสที่จะใช้งานไปแล้ว

เพราะทีมแพทย์พบว่าองคชาตอีก 2 อันนั้นไม่มีท่อปัสสาวะต่อมาถึง ก็เลยตัดสินใจที่จะทำการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อเอาออก เพื่อไม่สร้างปัญหาให้กับเด็กชายอีกต่อไป

 

ภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

 

อย่างไรก็ตาม ในแง่ขององคชาต 2 อัน หรือดับเบิ้ลหรรมส์นี้มีการค้นพบมานานแล้วโดยครั้งแรกมีบันทึกรายงานการค้นพบในปี 1609 จนมีการทำการศึกษาเรื่อยมา และพบว่าโดยสิถิติ จะมีโอกาสที่คนเกิดมาแล้วมีองคชาต 2 อันเกิดขึ้นนั้น จะอยู่ที่ราวๆ 1 ใน 5 ล้าน หรือ 6 ล้าน

ส่วนองคชาต 3 อัน หรือทริปเปิ้ลหรรมส์ เป็นการค้นพบครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติกันเลยทีเดียว

หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจ ก็สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดงานวิจัยที่ sciencedirect ได้เลย

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว

ที่มา : nypost, sciencedirect


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น