กลายเป็นข่าวใหญ่ของวงการดาราศาสตร์ในตอนนี้ไปแล้ว หลังจากที่เมื่อล่าสุดนี้ได้มีการประกาศออกมาบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ “ความเป็นไปได้” ที่ว่าดาวเพื่อนบ้านของเราอย่าง “ดาวศุกร์” อาจจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
แน่นอนว่าข่าวแบบนี้ ตามปกติก็คงจะทำให้หลายคนไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจกับเรื่องดังกล่าว ดังนั้น ในโอกาสนี้ทีมงานแคทดั๊มบ์จึงสรุปในประเด็นต่างๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ..
นักวิทยาศาสตร์พบอะไร?
ความเป็นไปได้ข้อใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติแห่งมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ทำการค้นพบก๊าซฟอสฟีน (Phosphine) ในชั้นบรรยากาศ ที่ระดับความสูงประมาณ 50-60 กม. ของดาว
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้พวกเขาจะพยายามสังเกตการณ์ก๊าซตัวนี้ อย่างละเอียดก็ตาม
ก๊าซฟอสฟีนคืออะไร? ทำไมมันจึงสำคัญ?
ก๊าซฟอสฟีน ที่ถูกพบบนดาวศุกร์นั้น เป็นก๊าซที่ประกอบด้วยฟอสฟอรัส และไฮโดรเจน
โดยบนโลกของเราก๊าซนี้จะเป็นสิ่งที่ตามปกติจะไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากการผลิตของสิ่งมีชีวิต อย่างเช่น จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของสัตว์อย่างเพนกวิน หรือไม่ก็ด้วยการผลิตทางอุตสาหกรรมในโรงงานต่างๆ
ดังนั้นการที่เราพบก๊าซแบบนี้บนดาวศุกร์จึงกลายเป็นอะไรที่น่าสงสัยมาก เพราะสภาพดาวเช่นนี้ มันก็ไม่น่าจะมีก๊าซฟอสฟีนได้เลย เว้นแต่ว่าที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตอยู่
สรุปแล้วดาวศุกร์มีสิ่งมีชีวิตไหม?
นับตั้งแต่ค้นพบก๊าซฟอสฟีน นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามอย่างมากที่จะหาทางอธิบายการเกิดก๊าซฟอสฟีนในธรรมชาติ และไม่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต
แต่สุดท้าย ก็ไม่สามารถหาหลักฐานหรือคำอธิบายอะไรได้เลย ว่าถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิต จะมีฟอสฟีนได้ยังไง
แต่ถ้าถามเรื่องการมีสิ่งมีชีวิตล่ะ!?
สภาวะของดาวศุกร์เองก็ถือว่าเป็นอะไรที่ยากต่อการมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นกัน เนื่องจากอุณหภูมิพื้นผิวของดาวสูงถึง 450 องศาเซลเซียส เต็มไปด้วยกำมะถัน แถมยังไม่มีออกซิเจนอยู่ด้วย
ดังนั้นหนทางที่เป็นไปได้ที่สุดที่จะอธิบายการมีอยู่ของก๊าซฟอสฟีนในปัจจุบัน จึงเป็นการมีอยู่ของ “สิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน (Anaerobic microorganisms)” บนชั้นบรรยากาศของดาวไป

แต่แม้ข่าวที่ออกมาจะชวนให้คิดว่ามีสิ่งมีชีวิตบนดาวศุกร์แน่ๆ ก็ตาม การจะยืนยันคำตอบที่ชัดจนของคำถามนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็คงจะต้องทำการการส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวศุกร์โดยเฉพาะ
ซึ่งกว่ากิจกรรมนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้น เราก็อาจจะต้องรอไปถึงในช่วงปี 2030 เลย
ที่มา independent, bbc และ nytimes
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น