พิธีกรรมแต่โบราณล้วนขึ้นชื่อในเรื่องของความโหดร้ายและชวนให้รู้สึกสยองเมื่อเทียบกับบรรทัดฐานในปัจจุบัน
หากมีการจัดอันดับชนเผ่าที่มีพิธีกรรมสุดโหด จนกลายมาเป็นตำนานจนทุกวันนี้ เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “ชาวแอซเทค” อย่างแน่นอน
นับแต่อดีต ชาวแอซเทคขึ้นชื่อในเรื่องของการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ซึ่งแต่ละองค์เป็นตัวแทนของสรรพสิ่งและธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครจะสำคัญไปกว่า Huitzilopochtli เทพแห่งดวงตะวัน สงคราม และการบูชายัญ
ชาวแอซเทคเชื่อกันว่าในอดีตเคยมีดวงอาทิตย์อยู่ 5 ดวงซึ่งได้สูญสลายไปตามกาลเวลา เหลือเพียงดวงสุดท้ายที่ยังคงอยู่ จึงต้องทำการบูชายัญด้วยเลือดเพื่อไม่ให้ดวงอาทิตย์นี้ต้องดับสูญไปพร้อมกับโลกใบนี้
สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นเพื่อบูชาต่อเทพเจ้า Huitzilopochtli คือพิธีกรรม “ควักหัวใจทั้งเป็น” เพื่อบูชาโลหิตจากอวัยวะที่มีเลือดไหลเวียนมากที่สุดในร่างกาย
สถานที่ประกอบพิธีคือมหาพีระมิด Templo Mayor ซึ่งตั้งอยู่ในกลางนคร Tenochtitlan โดยพีระมิดนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อถวายแก่เทพเจ้า Huitzilopochtli รวมถึงเทพแห่งฝนฟ้าและสายธารอย่าง Tlaloc
ในบันทึกที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยชาวสเปน พิธีกรรมนี้จะจัดขึ้นอย่างน้อย 18 ครั้งต่อปี ทำให้มีผู้ถูกบูชายัญมากถึง 20,000 คนต่อปี โดยเหยื่อที่ถูกนำมาเข้าร่วมพิธีโดยมากมักเป็นเหล่าเชลยและชนเผ่าปฏิปักษ์ของชาวแอซเทคนั่นเอง
ในปี 1487 ที่พีระมิดแห่งนี้สร้างเสร็จ มีบันทึกว่าชาวเมืองได้จัดงานเฉลิมฉลองด้วยการบูชายัญมนุษย์มากถึง 80,400 คน โดยเหล่านักบวชชั้นสูงจะนำผู้สังเวยมาตรึงไว้ จากนั้นจึงนำมีดกรีดลงไปบริเวณหน้าอก และทำการควักหัวใจทั้งเป็น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเหยื่อและเสียงกู่ก้องของชาวแอซเทคที่เข้าร่วมพิธีกรรมนั้น
ชาวแอซเทคจำนวนมากเชื่อว่าการมอบหัวใจให้กับเทพ Huitzilopochtli ถือเป็นเครื่องการันตีถึงชีวิตหลังความตายที่จะได้อยู่อย่างสุขสบาย
นอกเหนือไปจากการบูชาเลือดเพื่อเทพเจ้าและความอยู่รอดของโลกใบนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังวิเคราะห์ว่าพิธีกรรมควักหัวใจยังมีขึ้นเพื่อขยายอาณาจักรแอซเทคให้ยิ่งใหญ่
มีหลักฐานทางโบราณคดีค้นพบซากกระดูกและกระโหลดศีรษะของมนุษยจำนวนมากบริเวณฐานของพีระมิดซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่พิสูจน์ว่าพิธีกรรมนี้เคยเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม มีการถกเถียงในด้านวิชาการว่าบันทึกนี้อาจมีการบิดเบือนข้อมูลโดยชาวสเปนโดยใส่ตัวเลขที่มากเกินจริงเพื่อทำให้ชาวแอซเทคดูโหดร้ายและป่าเถื่อน
สิ่งนี้ยังถือเป็นปริศนาที่นักโบราณคดีให้ความสนใจและยังคงศึกษาเพื่อให้เราได้ค้นพบความลับของอารยธรรมในอดีต ที่อาจส่งผลต่อการหาคำตอบและความหมายของชีวิตในอนาคต
ที่มา:
– history
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น