เมื่อกล่าวถึง ‘ซามูไร’ แล้ว เพื่อนๆ หลายคนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นนักรบถือดาบคาตานะเล่มยาวที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
แน่นอนว่าภาพในจินตนาการของเรานั้นเหล่าซามูไรทั้งหลายก็จะเป็นชายชาวญี่ปุ่นที่สวมชุดเกราะ ถือดาบเล่มยาวกวัดแกว่งไปมาคอยฟาดฟันศัตรู
แต่เพื่อนๆ รู้หรือไม่!? ว่าในประวัติศาสตร์ของชาวญี่ปุ่นนั้นเองก็มีเรื่องราวของ ‘ซามูไรผิวดำ’ อยู่ด้วยเช่นกัน และมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และในวันนี้ #เหมียวหง่าว จะขอพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับเขากัน
โดยปกติแล้วเหล่าซามูไรทั้งหลายนั้นจะมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง และการจะได้เป็นซามูไรนั้นก็ไม่ได้เป็นกันได้ง่ายๆ เพราะตามความเชื่อแล้วการที่ใครจะได้เป็นซามูไรนั้นจะมีฐานะที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด กล่าวคือต้องมีเชื้อสายซามูไรมาก่อนนั่นเอง
แต่ในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นเองก็ได้มีการบันทึกเรื่องราวของคนที่เป็นซามูไรแต่ไม่ได้มาจากตระกูลซามูไรอยู่หลายคนด้วยกัน ทั้งนี้ก็อาจจะเป็นเพราะการได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์หรือโชกุนโดยตรง
และชายผิวดำคนนี้เองก็ถูกแต่งตั้งให้กลายมาเป็นซามูไรผิวสีคนแรกและเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เขาผู้นั้นมีนามว่า ‘ยาสึเกะ’ (Yasuke)
แรกเริ่มเดิมทีแล้วยาสึเกะนั้นเป็นทาสชาว Mozambique ที่ทำหน้าที่รับใช้นักบวชนิกายโรมันคาทอลิคชื่อว่าคุณพ่อ Alessandro Valignano ที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1579
ซึ่งในขณะนั้นการที่คนผิวดำได้เข้าไปเยือนในแผ่นดินอาทิตย์อุทัยนั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหนผู้คนต่างก็หวาดหวั่นกับความน่าเกรงขาม ความกำยำและสูงใหญ่ของร่างกาย ซึ่งความสูงของเขานั้นถูกบันทึกไว้มากกว่า 2 เมตรเลยทีเดียว
และไม่ว่าจะคณะเผยแพร่ศาสนาของคุณพ่อ Valignano จะเดินทางไปไหนก็จะพายาสึเกะไปด้วย ทำให้ผู้คนต่างก็เข้ามามุงดูความแปลกนั้นและก็กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่าคณะนักบวชได้เลี้ยง ‘ยักษ์สีดำ’ ไว้
หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่ปีคำร่ำลือนั้นก็ไปเข้าหูของจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นอย่าง Oda Nobunaga จึงได้ทำการเชิญคุณพ่อ Valignano และยักษ์สีดำนั้นให้เข้าพบในปี 1581
การพบกันในครั้งนั้นสร้างความแปลกใจให้กับ Nobunaga เป็นอย่างมาก เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะมีคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ และสีผิวแบบนี้ ในบางบันทึกนั้นได้เขียนเอาไว้ว่าความแข็งแกร่งของยาสึเกะนั้นมากพอๆ กับกำลังของคนปกติธรรมดาถึง 10 คน!!
แน่นอนว่ายาสึเกะนั้นเองก็ไม่ใช่ทาสที่ใช้แต่เพียงแรงงานอย่างเดียว ก่อนหน้านั้นเขาได้เดินทางร่วมกับคณะนักบวชไปยังประเทศต่างๆ ในละแวกนี้มาก่อน และจากการที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 2 ปี ทำให้เขามีความสามารถในการพูดภาษาญี่ปุ่นได้อยู่บ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม Nobunaga นั้นไม่เชื่อว่าสีผิวของเขานั้นติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด จึงสั่งยาสึเกะเปลื้องผ้าออกให้หมดจากนั้นให้คนรับใช้นำน้ำและผ้ามาถูตามร่างกายเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่าผิวสีดำมะเมื่อมนั้นไม่ได้มาจากการทาสี
ด้วยความชอบอกชอบใจในตัวของทาสคนนี้เป็นอย่างมาก Nobunaga จึงทำการประกาศให้ชายผิวดำคนนี้กลายเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารของเขาพร้อมกับมอบดาบคาตานะเล่มยาวให้เป็นรางวัล และตั้งชื่อแบบญี่ปุ่นให้กับเขาว่า ‘ยาสึเกะ’ กลายมาเป็นชื่อเรียกของเขานับตั้งแต่นั้นมา
ยาสึเกะกลายมาเป็นผู้ติดตามคนสนิทของ Nobunaga ในทันที เขาได้รับอิสระหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมันมานานหลายปี แต่เอาจริงๆ แล้วเขาก็ยังเป็นคนรับใช้อยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาสามารถนั่งทานอาหารบนโต๊ะได้เท่าเทียมกับคนอื่นๆ ได้รับค่าแรงจากการทำงาน เป็นต้น
บางครั้งเขาก็ได้นั่งร่วมรับประทานอาหารกับ Nobunaga ด้วย แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในตอนที่เขาอาศัยอยู่กับเหล่าคณะนักบวชอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการถวายงานรับใช้ให้กับ Nobunaga เพื่อความฝันที่ครอบครองและรวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียวผ่านไปได้ไม่นาน หน้าที่ของเขาก็ได้จบลง เพราะ แม่ทัพ Akechi Mitsuhide หนึ่งในแม่ทัพที่ฝีมือดีที่สุดของ Nobunaga ได้ตัดสินใจที่จะทรยศต่อนายของตัวเอง
Akechi ได้นำทัพที่ Nobunaga สั่งให้ไปรบวกกลับเข้ามาล้อมวัดที่โอดะพำนักอยู่ซึ่งในตอนนั้นอยู่ในช่วงการทำสงคราม ทำให้เหลือทหารคุ้มกันอยู่ไม่มาก สุดท้าย Nobunaga ก็ยอมจำนน และทำการคว้านท้องตัวเองตามประเพณีของซามูไร เพื่อการจากไปอย่างมีเกียรติ
ส่วนยาสึเกะนั้นหลบหนีออกมาได้ทัน และไปเข้าร่วมกับทัพลูกชายของ Nobunaga ซึ่งก็คือ Oda Nobutada และเข้าร่วมรบเพื่อช่วยลูกชายของผู้มีพระคุณปกป้องปราสาทจากกองทัพของนายพล Akechi
แต่สุดท้ายก็ต้านไว้ไม่ได้ Nobutada ถูกจับกุมตัวและเลือกที่จะคว้านท้องของตัวเองตามพ่อของตนไปเพื่อรักษาเกียรติของวงศ์ตระกูล แน่นอนว่ายาสึเกะเองก็เลือกที่จะทำเช่นนั้น
แต่การคว้านท้องนั้นถือเป็นประเพณีของ ‘ซามูไร’ เท่านั้น นายพล Akechi ไม่เห็นว่ายาสึเกะไม่ได้เป็นนักรบซามูไรที่แท้จริง จึงได้จับตัวเขาส่งไปยังโบสถ์ของเหล่านักบวชนิกายคาทอลิกที่อยู่ในเมืองเกียวโต
และที่นั่นเองก็เป็นสถานที่ที่ยาสึเกะหายตัวไปอย่างลึกลับและไม่มีใครรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นของซามูไรชาวแอฟริกันอีกเลย….
เชื่อว่าถ้าเป็นพล็อตหนัง คงจะสนุกน่าดูเลยล่ะ ^^
ที่มา : knowledgenuts, wikipedia
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น